ข่าว"เหริน เจิ้งเฟย" ลั่นหัวเว่ยอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งสหรัฐ - kachon.com

"เหริน เจิ้งเฟย" ลั่นหัวเว่ยอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งสหรัฐ
ต่างประเทศ

photodune-2043745-college-student-s
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ว่านายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของหัวเว่ย ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กของสหรัฐ ที่บ้านพักในเมืองเซินเจิ้น ทางตอนใต้ของจีน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าประเด็นสำคัญของการสนทนาเกี่ยวข้องกับมาตรการกดดันของรัฐบาลวอชิงตันชุดปัจจุบันโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขึ้นบัญชีดำบริษัทผู้ให้บริการด้านระบบสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก และตอนนี้มียอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนเป็นอันดับ 2 เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่ามาตรการดังกล่าวของสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อแผนยุทธศาสตร์ในการวางระบบโครงข่าย 5จี  ไม่ใช่แต่เพียงเฉพาะกับหัวเว่ย แต่ยังจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังมาตรฐานของการผลิตสิ่งของทุกสิ่งตั้งแต่รถยนต์ไร้คนขับไปจนถึงหุ่นยนต์ช่วยในการผ่าตัด
 
ทั้งนี้ นายเหริน วัย 74 ปี ซึ่งก่อตั้งอาณาจักรหัวเว่ยเมื่อปี 2530 หลังลาออกจากกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ( พีแอลเอ ) กล่าวว่าบริษัทของเขามีศักยภาพแข็งแกร่งเพียงพอในการฝ่าฟันวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น “ด้วยวิธีการของตัวเอง” และ “แม้อาจต้องใช้เวลาเวลาสักระยะ” นายเหรินกล่าวด้วยว่าหัวเว่ยออกแบบและพัฒนาชิปของตัวเองมานานหลายปีแล้ว และตอนนี้ชิปหลายรุ่นใช้งานจริงแล้วในสมาร์ทโฟน “บางรุ่น” ของบริษัท ขณะเดียวกัน หัวเว่ยกำลังพัฒนาระบบปฏิบัติการ ( โอเอส ) ของตัวเองด้วย เมื่อพิธีกรขอให้นานเหรินประเมินความรวดเร็วในการแก้ไขวิกฤตการณ์ที่บริษัทกำลังเผชิญ เจ้าของหัวเว่ยตอบว่า “ขึ้นอยู่กับว่าทีมช่างซ่อมของเราสามารถซ่อมเครื่องบินได้เร็วแค่ไหน” และ “ไม่ว่าเครื่องบินของเราจะทำจากเหล็ก ผ้า หรือแต่กระดาษ เป้าหมายของเรามีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือทำให้เครื่องบินลำนั้นลอยขึ้นสู่อากาศให้ได้”
 

   
อนึ่ง เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าก่อนเกิด “ข้อพิพาท” กับสหรัฐ นายเหรินปรากฏตัวต่อสื่อทั้งในและต่างประเทศแทบนับครั้งได้ อีกทั้งไม่ค่อยเปิดโอกาสให้สำนักข่าวต่างประเทศสัมภาษณ์มากนัก แต่ตอนนี้นอกจากการพยายามรักษาบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเองกับมือและตอนนี้มีมูลค่าตลาดสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 3.18 ล้านล้านบาท ) หัวดว่ยยังต้องต่อสู้คดีกับการที่ทางการแคนาดาควบคุมตัวน.ส.เมิ่ง หว่านโจว บุตรสาวคนโตของนายเหรินและยังมีตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของหัวเว่ยไว้ตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ส่งผลให้ครอบครัวของนายเหรินและหัวเว่ยต้องเข้าสู่สงครามการค้าระหว่างรัฐบาลสหรัฐกับรัฐบาลจีนโดยปริยาย ซึ่งนายเหรินยังคงยืนยันว่าบริษัทของเขาเป็นเพียง “งาเมล็ดหนึ่งเท่านั้น” และย้ำว่าจนถึงตอนนี้สหรัฐซึ่งไม่ใช่ "ตำรวจโลก" ยังไม่สามารถแสดง "หลักฐานเชิงประจักษ์" เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาต่อบุตรสาวของเขา
 

 
อย่างไรก็ตาม นายเหรินกล่าวว่าหัวเว่ยเป็นมิตรกับบริษัททุกแห่งบนโลกรวมถึงของสหรัฐ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหัวเว่ยใช้บริการและสั่งซื้อสินค้าหลายอย่างจากผู้ประกอบการในอเมริกา นายเหรินกล่าวด้วยว่าเขามีสมาร์ทโฟนของแอปเปิ้ล นั่นคือไอโฟน นายเหรินกล่าวว่าแอปเปิ้ลเป็นตัวอย่างของบริษัทซึ่งมีระบบนิเวศทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม โดยส่วนตัวเขาไม่เชื่อว่าหากรัฐบาลปักกิ่งมีมาตรการตอบโต้ จะเป็นมาตรการแบบเดียวกับที่สหรัฐใช้กับบริษัทของเขา แต่หากภาครัฐตัดสินใจเช่นนั้นจริง เขาจะเป็นคนแรกที่ประท้วงเอง และตอนนี้เทคโนโลยีหลายด้านของหัวเว่ย "ล้ำหน้า" กว่าบริษัทอเมริกันหลายแห่ง ดังนั้นหัวเว่ยมีเหตุผลอะไรที่จะต้องไป "ขโมย" เทคโนโลยีของอีกฝ่าย 
 

 
ต่อประเด็นที่ทรัมป์กล่าวว่า หัวเว่ยสามารถเป็น “ส่วนหนึ่ง” ในการเจรจาข้อตกลงระหว่างสหรัฐกับจีนได้ นายเหรินกล่าวว่า “เป็นเรื่องตลกมาก” เนื่องจากเขาไม่ใช่นักการเมือง ดังนั้นจะไปมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ได้อย่างไร และหัวเว่ยเพียงต้องการ "อยู่รอด" ไม่ได้ต้องการชนะใครเพื่อเป็นอันดับหนึ่ง เมื่อพิธีกรถามต่อว่าหากทรัมป์ต่อสายโทรศัพท์มาขอสนทนาด้วย นายเหรินตอบว่า เขาจะปฏิเสธ แล้วผู้นำสหรัฐจะไปเจรจาต่อกับใครไม่ใช่ธุระของเขา เพราะในเมื่อเขาอาจไม่รับสาย แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงยากเพราะทรัมป์ไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวของเขา
 
ก่อนหน้านั้นไม่นานนายเหรินเคยกล่าวถึงทรัมป์ว่า “เป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง” ขณะที่ในการสัมภาษณ์คราวนี้นายเหรินกล่าวด้วยว่า เขาเคยอาจการทวีตของทรัมป์ในหลายโอกาสและรู้สึกตลก เพราะหลายครั้งที่การทวีตของผู้นำสหรัฐมีเนื้อหาย้อนแย้งในตัวเอง แล้วทรัมป์จะเป็น “เจ้าแห่งศิลปะการเจรจาได้อย่างไร”.

เครดิตภาพ : AP