ข่าวเจ้าของหัวเว่ยเชื่อแรงกดดันจากสหรัฐ "ไม่กระทบมาก" - kachon.com

เจ้าของหัวเว่ยเชื่อแรงกดดันจากสหรัฐ "ไม่กระทบมาก"
ต่างประเทศ

photodune-2043745-college-student-s
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ว่าเว็บไซต์ "นิกเคอิ เอเชียน รีวิว" ซึ่งเป็นสื่อธุรกิจของญี่ปุ่น เผยแพร่บทสัมภาษณ์พิเศษของนายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี ผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมขนาดใหญ่ที่สุดของโลกจากจีน เมื่อวันเสาร์ ซึ่งสาระสำคัญแน่นอนว่าเกี่ยวกับแรงกดดันอย่างนักจากสหรัฐและพันธมิตรบางประเทศที่ถาโถมเข้าสู่หัวเว่ย ว่าโดยส่วนตัวเขายอมรับว่ามาตรการดังกล่าวอาจส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทในปีนี้ "แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น"
 

ทั้งนี้ นายเหรินกล่าวด้วยว่าหัวเว่ยคาดการณ์มาตรการลักษณะนี้จากสหรัฐไว้นานระยะหนึ่งแล้วว่าจะเกิดขึ้น ทุกฝ่ายในบริษัทจึงไม่ท่าทีมากนักเมื่อมีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ทุกภาคส่วนเดินหน้าปฏิบัติตามแผนการรับมือที่เตรียมการร่วมกันไว้ พร้อมทั้งย้ำว่าบริษัทของเขาจะไม่มีทาง "เปลี่ยนแปลง" ตามความต้องการของรัฐบาลวอชิงตัน ที่รวมถึงการปรับโครงสร้างของฝ่ายบริหารและการยอมรับ "การตรวจสอบ"
 

 
บทสัมภาษณ์ดังกล่าวของนายเหรินเผยแพร่ออกมาในเวลาเดียวกับที่กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์เรื่องการสนทนาทาวโทรศัพท์ระหว่างนายหวัง อี้ รมว.กระทรวงการต่างประเทศจีน กับนายไมค์ ปอมเปโอ รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งนายหวังกล่าวในตอนหนึ่งว่า รัฐบาลวอชิงตันไม่ควรกระทำการใดที่จะส่งผลให้ข้อพิพาทการค้ากับจีน "บานปลาย" ไปมากกว่านี้ และยืนยันว่ารัฐบาลปักกิ่งยังคงพร้อมเจรจา แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ด้านแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐระบุเพียงว่า รมว.กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายสนทนาทางโทรศัพท์ในประเด็น "ระดับทวิภาคี" ที่รวมถึงอิหร่าน แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

 
ในอีกด้านหนึ่ง แหล่งข่าวในกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเผยเรื่องการเตรียมออก "มาตรการผ่อนผัน" ให้กับหัวเว่ยเป็นเวลาสูงสุด 90 วัน เพื่อไม่ให้กระทบกับบริการที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลของรัฐที่มีประชากรอาศัยเบาบาง เช่นรัฐออริกอนและรัฐไวโอมิง ซึ่งมาตรการจะรวมถึงการอนุญาตให้หัวดว่ยซื้อสินค้าและบริการของสหรัฐเพื่อไม่ให้ลูกค้าของหัวเว่ยในอเมริกาได้รับผลกระทบ แต่มาตรการผ่อนผันนี้จะไม่มีผลครอบคลุม "โครงการในอนาคต".

เครดิตภาพ : REUTERS