ข่าวจีนบอกสหรัฐ"จริงใจ"ในการเจรจาการค้า หรือยกเลิกไปเลย - kachon.com

จีนบอกสหรัฐ"จริงใจ"ในการเจรจาการค้า หรือยกเลิกไปเลย
ต่างประเทศ

photodune-2043745-college-student-s
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่งประเทศจีน เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ว่านายลู่ คัง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงเมื่อวันศุกร์ ว่านับตั้งแต่มีข้อพิพาททางการค้ากับสหรัฐเกิดขึ้น จีนพยายามมาตลอดในการเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอเจรจาและ "การปรึกษา" กับรัฐบาลวอชิงตัน เพื่อร่วมกันหาทางคลี่คลายปัญหาดังกล่าวอย่างสันติวิธี และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อกลไกเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
 
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของสหรัฐที่เกิดขึ้นระหว่างการเจรจาในระยะหลังทำให้จีนประเมินสถานการณ์แล้วว่า หากอีกฝ่ายประสงค์ให้มีการพบหารือครั้งต่อไป สหรัฐต้องเป็นฝ่าย "แสดงความจริงใจ" มากกว่านี้ ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ "สถานการณ์ฉุกเฉินด้านเทคโนโลยี" เพื่อพิทักษ์ระบบโครงข่ายอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศของสหรัฐจาก "การรุกรานโดยศัตรู" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อประเทศและบริษัทแห่งใด


หลังจากนั้นกระทรวงพาณิชย์เพิ่มชื่อบริษัทหัวเว่ยเข้าสู่บัญชีรายชื่อ "การจับตา" ที่หากผู้ประกอบการของสหรัฐประสงค์ทำธุรกรรมด้วย "ต้องขอใบอนุญาต" ที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่ายากมากที่จะมีการอนุมัติท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ กระนั้นแหล่งข่าวในกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเผยว่าอาจมีการออกใบอนุญาตผ่อนผัน "ชั่วคราว" ให้ผู้ประกอบการในประเทศที่ต้องการค้าขายกับหัวเว่ย จัดการข้อตอลงที่ยังค้างคาอยู่ให้เสร็จสิ้นภายใน 90 วัน
 
 


 
ทั้งนี้ จีนประกาศว่านับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. นี้เป็นต้นไป จะมีการขึ้นภาษีในอัตราระหว่าง 5% ถึง 25% ต่อสินค้ามูลค่าราว 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ   ( ราว 1.9 ล้านล้านบาท ) ที่ส่งออกจากอเมริกา จำแนกออกเป็นสินค้า 5,140 รายการ โดยสินค้าที่อยู่ในรายชื่อส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รวมถึงแบตเตอรี่ และสินค้าพลังงานด้านพลังงาน อาทิ ผลิตภัณฑ์จากก๊าซธรรมชาติเหลว ( แอลเอ็นจี ) เพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีและขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน "เกือบทุกรายการที่เหลือ" ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐก่อนขึ้นภาษี ( ราว 9.5 ล้านล้านบาท ) หลังรัฐบาลวอชิงตันเพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากเดิม 10% ขึ้นเป็น 25% ต่อสินค้าของจีน 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 6.3 ล้านล้านบาท ) และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา.

เครดิตภาพ : AFP,AP