ข่าวสหรัฐคว่ำบาตรอุตสาหกรรมแร่ของอิหร่าน - kachon.com

สหรัฐคว่ำบาตรอุตสาหกรรมแร่ของอิหร่าน
ต่างประเทศ

photodune-2043745-college-student-s
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงในคำสั่งฝ่ายบริหาร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่ออุตสาหกรรมแร่ของอิหร่าน ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับ 2 ของอีกฝ่าย รองจากพลังงานที่รวมถึงน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ โดยวันที่ผู้นำสหรัฐลงนามในคำสั่งดังกล่าวตรงกับวันครบรอบ 1 ปีการลงนามในคำสั่งแบบเดียวกัน ว่าสหรัฐขอถอนตัวออกจากการเป็นภาคีร่วมข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ "เลวร้ายอย่างถึงที่สุด" และเป็นสิ่งที่ "ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก" เนื่องจากเป็นพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไม่มีทางยับยั้งความพยายามของอิหร่านในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
 

 
ทั้งนี้ ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านเป็นสนธิสัญญาที่รัฐบาลเตหะรานลงนามร่วมกับ 5 ประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) ได้แก่ สหรัฐ รัสเซีย จีน สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ร่วมด้วยสหภาพยุโรป ( อียู ) และเยอรมนี เมื่อปี 2558 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลวอชิงตันของทรัมป์ซึ่งมีนโยบายสายเหยี่ยวต่ออิหร่านอยู่แล้ว ถอนตัวออกเมื่อเดือนพ.ค. ปีที่แล้ว และกลับมาเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวต่อรัฐบาลเตหะรานอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นอุตสาหกรรมพลังงานและการทำธุรกรรมระหว่างประเทศเป็นหลัก


Iranians back government decision to scale back nuclear commitments#IranDeal #JCPOA pic.twitter.com/REcLKvw5gj

— Press TV (@PressTV) May 8, 2019

ขณะที่เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการประกาศขยายมาตรการคว่ำบาตรของทรัมป์ ประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานี ผู้นำอิหร่าน ลงนามในคำสั่งยุติการปฏิบัติตามข้อตกลงบางส่วนของสนธิสัญญา โดยไม่ได้มีการลงลึกในรายละเอียดอย่างชัดเจน แม้โรฮานียืนยันว่าปริมาณยูเรเนียมเสริมสมรรถนะของอิหร่านยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ตามข้อตกลง แต่หากภายใน 60 วัน รัฐภาคีที่เหลืออยู่ในข้อตกลงยังไม่สามารถปฏิบัติตามสาระสำคัญของข้อตกลง คือการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตร "ภายใน 60 วัน" อิหร่าน "จะมีมาตรการเพิ่มเติม"

ความเคลื่อนไหวทางการทูตของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่สหรัฐเพิ่มแรงกดดันที่อิหร่านมองว่าเป็นเพียง "สงครามจิตวิทยาทหาร" ด้วยการส่งกองเรือเฉพาะกิจนำโดยเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ชั้นนิมิตซ์ “ยูเอสเอส อับราฮัม ลินคอล์น” เดินทางเข้าสู่น่านน้ำแถบตะวันออกกลาง พร้อมเสริมทัพด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์รุ่น บี-52 "จำนวนหนึ่ง" โดยอ้างเพื่อรับมือกับ "ภัยคุกคาม" ที่จะเกิดขึ้นโดยกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน ( ไออาร์จีซี ).

เครดิตภาพ : AP