ข่าวผู้นำจีนยืนยัน "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" โปร่งใสและยั่งยืน - kachon.com

ผู้นำจีนยืนยัน "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" โปร่งใสและยั่งยืน
ต่างประเทศ

photodune-2043745-college-student-s
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวถ้อยแถลงเปิดการประชุม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ” ( บีอาร์เอฟ ) และการประชุม "ความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ( บีอาร์ไอ ) ซึ่งมีผู้นำจาก 37 ประเทศเข้าร่วมการประชุม ที่ศูนย์การประชุมในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันศุกร์ มีสาระสำคัญในตอนหนึ่งว่า แผนยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ “กับดักหนี้” และไม่ใช้การวางกลยุทธ์ด้านภูมิศาสตร์การเมืองของรัฐบาลปักกิ่ง เพื่อปูทางสู่การเป็นประเทศ “อภิมหาอำนาจ” โดยผู้นำจีนกล่าวว่าเส้นทางสายไหมใหม่ไม่ใช่ “สโมสรพิเศษ” เฉพาะกลุ่มประเทศใดประเทศหนึ่ง พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าแผนการนี้ คือการค้าแบบแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน "ไม่ใช่การค้าขายทางเดียว" เพื่อ “ความยุติธรรมและรักษาสมดุลทางการค้า" ระหว่างประเทศที่ร่วมมือ
 

อย่างไรก็ตาม นายสีกล่าวว่ารัฐบาลปักกิ่งมีความเข้าใจและยอมรับต่อทุกเสียงวิจารณ์ คลอดจนความวิตกกังวลต่อปัญหาเรื่องกับดักหนี้ จากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวกับจีน ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดริเริ่มของเขาเมื่อปี 2556 ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการเสนอแผนงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วนว่า ทุกความร่วมมือจะมีความยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจและการค้าตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยนายหลิว คุน รมว.กระทรวงการคลังของจีน กล่าวว่ารัฐบาลปักกิ่งจะนำเสนอร่างแผนยุทธศาสตร์ป้องกัน “ความเสี่ยงเรื่องกับดักหนี้” และ “เพื่อความโปร่งใส” ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเชิงบวกจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( ไอเอ็มเอฟ )

ทั้งนี้ ในบรรดาผู้นำประเทศที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ รวมถึง 10 ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( อาเซียน ) ซึ่งกำลังเป็น “เป้าหมายสำคัญ” ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย นายกรัฐมนตรีเซบาสเตียน คัวร์ซ ผู้นำออสเตรีย นายกรัฐมนตรีจูเซปเป กอนเต ผู้นำอิตาลี ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่ม "จี7" ประเทศแรกที่ลงนามร่วมเป็นพันธมิตรหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางด้วย และนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) เข้าร่วมงานด้วย แต่สหรัฐไม่ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมในปีนี้.

เครดิตภาพ : AFP